LESSON 2 : พีรวิชญ์ โตอดิเทพย์

ผู้บริหาร Gen Z บจ.น้องฉัตร อินเตอร์ กรุ๊ป

>>>>>>

รู้ก่อน…ถึงเป้าหมายเร็วกว่า
 

แบรนด์ CHAT Cosmetics ของ “น้องฉัตร”  Makeup Artist แถวหน้าของประเทศ ถือเป็นแบรนด์เครื่องสำอางของไทยแบรนด์แรกๆ ที่มีช่างแต่งหน้าเป็นเจ้าของเอง และ คุณบิ๊ก-พีรวิชญ์ โตอดิเทพย์ คือหนึ่งในทีมงานที่ช่วยกันปลุกปั้นแบรนด์นี้มาตั้งแต่ต้น เขาไต่เต้าจากแอดมินดูแลเพจเฟซบุ๊กจนล่าสุดได้รับการโปรโมตเป็น CIO (Chief Information Officer) ดูแลระบบสารสนเทศทั้งหมดขององค์กร   

จากเด็กหนุ่มวัย 19 ที่ความรู้เรื่องการทำธุรกิจเป็นศูนย์ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารในวัย 22 ต้องดูแลช่องทางรายได้หลักของบริษัท บริหารทีมงานนับสิบชีวิตที่ทุกคนล้วนเป็นรุ่นพี่ ขณะเดียวกันก็ยังต้องร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายของบริษัทไป

สู่การเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และก้าวไกลระดับอินเตอร์ในอนาคต อีกด้านหนึ่งก็มุ่งมั่นไปให้ถึงเป้าหมายส่วนตัว นั่นคืออยากประสบความสำเร็จและมีอิสรภาพในการใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง 

รู้ทั้งรู้ว่าชีวิตไม่เคยง่าย เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย แม้ในวัยที่ยังถือว่าน้อย ประสบการณ์ยังไม่แกร่งกล้า แต่เขาก้มหน้าฝึกฝนตนเอง หมั่นเติมความรู้ เพราะเชื่อว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ถ้ารู้ก่อนก็ถึงเป้าหมายเร็วกว่า

สักวันฉันจะเป็น Somebody 
เด็กหนุ่มนักศึกษาปี 1 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ตัดสินใจเข้าประกวด Mister Tourism World Thailand ด้วยความตั้งใจว่าหากได้ตำแหน่งจะใช้ความมีชื่อเสียงเป็น “พลังทวี” (Leverage) ไปสู่ความสำเร็จในชีวิต กลายเป็นประตูสู่โอกาสให้ได้รู้จักกับ น้องฉัตร-ฉัตรชัย เพียงอภิชาต Makeup Artist ชื่อดังของเมืองไทย และเข้าไปร่วมบุกเบิก “น้องฉัตร อินเตอร์ กรุ๊ป” บริษัทผู้ผลิตแบรนด์เครื่องสำอาง CHATCosmetics ของ “น้องฉัตร” ที่มีความตั้งใจให้บรรดาสาวๆ ได้ใช้เครื่องสำอางคุณภาพ และมีความสวยในแบบของตัวเอง

หลังจากได้สัมผัสความท้าทายของโลกธุรกิจ เป้าหมายชีวิตของคุณบิ๊กเริ่มเปลี่ยนไป เขายังอยากเป็น Somebody 
แต่คราวนี้ในวิถีใหม่ นั่นคือการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จจนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

“ผมเลือกเรียนนิเทศ เพราะอยากเข้าวงการบันเทิง ตั้งเป้าอยากเป็นคนมีชื่อเสียง แต่ภาพนี้มาเปลี่ยนไปตอน
ได้เจอกับน้องฉัตร และร่วมทำแบรนด์ CHAT Cosmetics ด้วยกัน จากเดิมที่อยากเป็น Somebody ในวงการบันเทิง ตอนนี้ ผมอยากเป็นคนธรรมดาที่ประสบความสำเร็จได้โดยไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงขนาดนั้น ผมอยากพาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และเติบโตไปไกลระดับโลก ทำให้ต่างชาติรู้ว่าแบรนด์เครื่องสำอางไทยก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก” 

เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้นอกตำราที่หาเรียนไม่ได้ที่ไหน นอกจากในชีวิตจริง

ถ้าไม่รู้ ต้องเชื่อในการลงมือทำ

แน่นอนว่าการทำธุรกิจนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่ออายุยังน้อยและขาดประสบการณ์ แต่เพราะถูกปลูกฝังจากครอบครัวมาว่าปัญหามีไว้พุ่งชน คุณบิ๊กไม่เกรงต่อความไม่รู้จนไม่กล้าที่จะทำอะไร เขามุ่งมั่นฝึกฝนจากการลงมือทำจริง ค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์ งานช่วงแรกที่รับผิดชอบคือการเป็นแอดมินเพจของแบรนด์ในยุคที่โซเชียลมีเดียกำลังมาแรง  ต้องเจอโจทย์ท้าทายใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อนแทบทุกวัน

“ผมรับหน้าที่เป็นแอดมินเพจ คอยรับลูกค้า ตอบคอมเมนต์ ควบกับการคิดและผลิตคอนเทนต์ ดูเรื่องยิงแอด มอนิเตอร์หลังบ้าน ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องใหม่หมด ช่วงแรกๆ ผมไม่รู้แม้แต่วิธีปิดการขาย ก็อาศัยรุ่นพี่คอยแนะนำ และศึกษาเพิ่มเติม ค่อยๆ ฝึกทำไป ถ้ามีลูกค้าทักมาเราจะสื่อสารกับเขายังไง จะปิดการขายยังไงให้ได้ยอด เริ่มจากจุดเล็กๆ ตรงนั้นก่อน แล้วค่อยขยับมาช่วยงานด้านมาร์เก็ตติ้ง”

จนถึงวันนี้จากประสบการณ์การทำธุรกิจออนไลน์มานานหลายปี คุณบิ๊กมองว่าต้องทำร้าน (เพจ) ให้น่าดึงดูด
เน้นสร้างคอนเทนต์ให้ตรงตามความสนใจของลูกค้า แล้วเมื่อลูกค้ารู้สึกว่าพร้อม เขาก็จะทักมาหาเราเอง

“เครื่องสำอางเป็นโปรดักต์ที่เน้นผลลัพธ์หลังการใช้งาน เห็น Before & After ชัดเจน ต้องเป็นคอนเทนต์ที่คนเห็น แล้วรู้สึกว่าเขาสามารถเป็นอย่างนั้นได้ บางทีเราทำคอนเทนต์ที่ใช้ดารา เซเลบ กลายเป็นว่าผลตอบรับไม่ดีตามที่คาด ตรงกันข้ามพอเอาคนธรรมดามาทำคอนเทนต์กลับปัง เพราะคนเข้าถึงได้ง่ายกว่า ไม่ได้รู้สึกว่ามันไกลตัวเขา 

“ผมทำงานบนข้อมูลสถิติหลังบ้าน ทำไป ปรับไป ให้เข้ากับสภาพความเป็นจริง ความรู้ในการทำงานตรงนี้ 
มาจาก Learning by Doing เป็นประสบการณ์จริงล้วนๆ ลองผิดลองถูก อะไรไม่เวิร์กก็ปรับ อันไหนเวิร์กและทำให้แบรนด์ ก้าวต่อไปได้ก็ทำต่อ” 

ทุกความท้าทายทำให้เติบโต  
 แม้ว่าแบรนด์ CHAT Cosmetics จะเติบโตก้าวกระโดดเทียบกับปีที่แล้วถึง 400% แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้เส้นทางธุรกิจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ โดยเฉพาะเมื่อแบรนด์ก้าวเข้าสู่สมรภูมิเครื่องสำอางที่นับวันจะยิ่งเติบโตและมีการแข่งขันรุนแรงขึ้น โดยพึ่งพาเฟซบุ๊กเป็นช่องทางรายได้หลักมาตั้งแต่ต้น อย่างที่รู้กันดีว่าเฟซบุ๊กมีการปรับอัลกอริทึมตลอดเวลา ล่าสุดมีการปิดกั้นการมองเห็นมากขึ้น ทุกแบรนด์ยิ่งต้องแข่งกันทุ่มงบยิงแอด ยิ่งกลายเป็นโจทย์หนักอึ้งที่คุณบิ๊กต้องเผชิญ          

“ระยะหลังการยิงแอดยากขึ้นมาก ทำให้ต้นทุนแพงขึ้น ถือเป็นความท้าทายของผมเลยนะ เพราะผมดูแลตรงนี้ เป็นหลัก สิ่งที่เราทำคือปรับงบโฆษณาให้เหมาะสม และใส่คีย์เวิร์ดแบบอ้อม เช่น แทนที่จะใช้คำว่า ‘เครื่องสำอาง’ ซึ่งกว้างมาก ก็เจาะไปเลย เช่น อายแชโดว์ มาสคาร่า อายไลเนอร์ ลิปกลอส คนที่เขาสนใจเครื่องสำอางก็ยังได้เห็นแอดเหมือนกัน นี่ก็เป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการลงมือทำ ทำให้เรายังสามารถทำการตลาดบนเฟซบุ๊กต่อไปได้ และออนไลน์ยังคงเป็นช่องทางรายได้หลักของเรา” 

เกือบ 4 ปีในการปั้นแบรนด์ เบื้องหน้าคือความสำเร็จสวยหรู แต่เบื้องหลังอุปสรรคเกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลา สำหรับคุณบิ๊กเลือกที่จะไม่มองว่าสิ่งนี้เป็น “ปัญหา” แต่เป็น “ความท้าทาย” ที่ต้องผ่านไปให้ได้ 

“ผมมองว่าอุปสรรคต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาเป็นความท้าทายนะ มันทำให้เราเติบโตขึ้นและก้าวออกไปจากจุดเดิม 
บางทีไม่ต้องไปมองหาความท้าทายจากภายนอกหรอก แต่เราท้าทายตัวเราเองนี่แหละ คอย Upskill ตัวเองให้เก่งขึ้นในทุกๆ วัน ด้วยอายุและประสบการณ์ของผมที่ยังมีน้อย อนาคตผมยังต้องเจออะไรอีกมาก ก็จะบอกกับตัวเองเสมอว่า ถ้าเจออะไรที่เรารู้สึกกลัว ถ้าอยากเติบโตก็ต้องยอมแลกมาด้วยความเจ็บปวด ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ”

ไม่มีคำว่า “เด็กไป” สำหรับการเริ่มต้นอะไรสักอย่าง

 เมื่อองค์กรเติบโตก้าวหน้า ตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาก็ขยับสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ปัจจุบันคุณบิ๊กก้าวมานั่งตำแหน่ง CIO ได้เรียนรู้บทบาทของผู้บริหาร จากลงมือทำเองต้องมาดูแลภาพรวมในการทำงาน กำหนดนโยบาย วาง
กลยุทธ์ และประเมินทีมงาน ซึ่งก็ไม่ง่ายเมื่อต้องดูแลทีมงานนับสิบ บางคนรุ่นอายุ 40-50 ปี ขณะที่เขาอายุเพียง 22 ปี 
เป็นพนักงานที่อายุน้อยที่สุดในบริษัท โดยไม่เคยผ่านการคุมทีมมาก่อน

เมื่อไม่มีประสบการณ์ คุณบิ๊กยอมรับว่าต้องทำการบ้านมากขึ้นกว่าเดิม เน้นสื่อสารกับทีมให้เข้าใจเป้าหมายตรงกัน และเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน 

“ผมมองว่าสุดท้ายแล้วอายุไม่เกี่ยวหรอก มันอยู่ที่ Mindset และวิธีการสื่อสารของเรา ทำยังไงให้ทีมเชื่อมั่น ในตัวเรา ต้องพิสูจน์ตัวเองล้วนๆ ผมอาจจะอายุน้อย แต่ก็มีประสบการณ์ทำงานกับบริษัทมาตั้งแต่เริ่มต้น คิดว่าหลังจากนี้ คงต้องเหนื่อยขึ้น ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องปกติ สิ่งสำคัญคือพยายามเรียนรู้ที่จะอัปเกรดตัวเองให้ตามทันเทรนด์ต่างๆ  CEO ของเราจะพูดเสมอว่าผู้บริหารก้าวไปข้างหน้าตลอด ทีมงานทุกคนต้องพยายามเดินตามหลังให้ทัน แมสเสจนี้ทำให้ทุกคน มีความกระตือรือร้น อยากเรียนรู้มากขึ้น อยากเก่งขึ้น รวมถึงตัวผมด้วย” 

ทางลัดของทุกคำตอบ  
คุณบิ๊กยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่เด็กหน้าห้องแอบหลับในห้องเรียนบ่อยๆ ด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งเพราะเนื้อหาที่เรียนไม่ตรงกับความสนใจ แต่เขาเชื่อเรื่องการเรียนรู้นอกห้องเรียน เมื่อมีคำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้ เขาจะนึกถึงหนังสือก่อนเสมอ เพราะมองว่าเป็นทางลัดในการเรียนรู้ จนเมื่อได้มีโอกาสเข้ามาเรียนคอร์ส BullMoon  Exclusive  มุมมองการเรียนรู้ของเขาขยายขอบเขตกว้างออกไป เพราะได้สัมผัสว่าการเรียนรู้จากคนที่มีประสบการณ์ตรงก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้ผลมากเช่นกัน และตอกย้ำให้เห็นว่า “กฎค่าเฉลี่ยคน 5 คน” ของ จิม โรห์น นักพูดสร้างแรงบันดาลใจชาวอเมริกัน เป็นความจริงอย่างมาก

“ก่อนหน้านี้สิ่งที่ผมคิดว่าจะทำให้ผมมีความรู้มากขึ้น มันคือหนังสืออย่างเดียว ผมเคยได้ยินเรื่องของกฎค่าเฉลี่ย คน 5 คน ที่บอกว่าเราคือค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุด ก็ได้แต่ฟังและนำมาคิด แต่พอมาลงเรียนคอร์ส BullMoon ตอนนี้เชื่อกฎนี้สนิทใจเพราะเจอมากับตัวเอง แค่เรียนวันแรก กลับบ้านไปผมรู้สึกว่าไฟลุกท่วมตัว มันทำให้เราได้ ไอเดียใหม่ๆ ได้ Mindset ใหม่ๆ อย่างเรื่อง Digital Asset ผมเคยมีความเข้าใจมาอย่างหนึ่ง แต่พอได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับพี่ๆ ร่วมคลาส ซึ่งเป็นคนในวงการนี้จริงๆ ไม่เกิน 5 นาที Mindset ผมเปลี่ยนไปเลย เหมือนเราได้เปิดกะโหลก แล้วคนแบบนี้ ไม่ใช่เดินเจอได้ตามท้องถนน ต่อให้ไปหาหนังสืออ่านเอง ผมก็ไม่รู้ว่าต้องเลือกอ่านเล่มไหน เป็นอะไรที่ว้าวมาก”

นี่ยังไม่รวมมุมมองต่อชีวิตที่เปลี่ยนไป หลังเข้าคลาสคุณบิ๊กรู้สึกว่าโลกนี้กว้างใหญ่มาก จึงตั้งปณิธานกับตัวเองว่าจะต้องจริงจังกับตัวเองมากขึ้น เรียนต่อให้จบ และทำทุกวันให้ดีที่สุด

“ตอนนี้ผมพร้อมลงทุน 100% มีกระสุนใหญ่อยู่หนึ่งนัดที่เก็บสะสมมาทั้งชีวิต ผมมาเรียนคอร์ส BullMoon เพราะอยากเคาะตัวเองว่าเราจะไปทางไหนกันแน่ เพราะการลงทุนมีหลายสาย วิทยากรท่านหนึ่งแนะนำผมว่ายังไม่ต้องรีบหา ตัวเองให้เจอวันนี้ว่าเราจะไปทางไหนกันแน่ แต่ลองเรียนรู้ให้หลากหลาย สังเกตตัวเอง ค้นหาตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายพอถึงวันหนึ่งที่ไทมิ่งมันใช่ มันจะคลิก เราจะรู้ตัวเอง แล้วเราจะเจอเวย์ของเราเอง 

“อย่างผมเป็นคน Introvert ชอบอยู่กับตัวเอง ได้ค้นพบว่าการลงทุนมันมีเสน่ห์ ไม่ต้องยุ่งกับใครมากเหมือนการทำธุรกิจ และใช้เรื่องของ EQ มากกว่า IQ ด้วยซ้ำ พอค้นพบว่าตัวเองอยากเป็นนักลงทุน ผมก็คิดต่อว่าแล้วเราจะเป็น นักลงทุนได้ยังไง ส่วนหนึ่งก็คือหาความรู้ใส่ตัว

“ผมเริ่มมาจากไม่รู้อะไรเลย จนได้ขึ้นมาเป็น CIO คิดว่ามีเรื่องที่ยังต้องรู้อีกมาก ผมอยากเห็นตัวเองในเวอร์ชัน ที่ดีกว่านี้ คอร์สนี้ทำให้ผมกลับมาคิดว่าเราควรจะต้องจริงจังกับชีวิตมากกว่านี้ คนชอบพูดว่าผมอายุยังน้อย ซึ่งนี่คือความได้เปรียบอย่างมาก ในเมื่อผมมีของดีอยู่ในมือก็ต้องรักษาไว้และทำให้ดีที่สุด”  

จากใจผู้บริหารวัย 22 ถึงคนอยากไปให้ถึงเป้าหมาย   

 “ผมอยากจะบอกว่าเรื่องอายุไม่เกี่ยวกับความสำเร็จจริงๆ นะ แต่อยากให้ทุกคนตระหนักว่าเวลาเป็นสิ่งมีค่า 
เพราะเราไม่สามารถเรียกร้องมันกลับมาได้ ดังนั้นถ้าคุณรู้ตัวเองว่าชอบอะไร หรืออยากทำอะไร ลงมือทำเลย ยิ่งรู้เร็ว ก็ยิ่งถึงเป้าหมายได้เร็ว หลายคนชอบพูดว่าผมยังเหลือเวลาในชีวิตอีกมากที่จะสานฝันของตัวเอง ผมอยากจะบอกว่า
ถ้าคุณเจอโมเมนต์ที่คลิกได้เร็วแล้วไปได้ถูกทาง คุณจะรู้เลยว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องไปเสียเวลาลำบากอยู่ตั้งนาน คุณจะได้ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการได้เร็วขึ้น”

นั่นคือคำทิ้งท้ายของคุณบิ๊กก่อนจากกัน ส่วนเราขอสรุปสั้นๆ จากการพูดคุยกับคุณบิ๊กอีกที…
อายุเป็นเพียงตัวเลข อยากถึงเป้าหมายต้องรีบลงมือทำ


เก็บตกนอกห้อง (เรียน) จากผู้บริหาร Gen Z  
·  ความสำเร็จไม่เกี่ยวกับอายุ ขึ้นอยู่กับว่าเราได้ลองทำสิ่งนั้นเร็วแค่ไหน นานแค่ไหน และรู้จริงในสิ่งที่ทำหรือเปล่า

· เวลาเป็นต้นทุนที่มีราคาแพง ถ้าเสียไปแล้วจะเรียกกลับคืนมาไม่ได้ ดังนั้นถ้ารู้ตัวเองว่าชอบอะไรหรืออยากทำอะไร ให้ลงมือเลย  

· หนทางสู่ความสำเร็จไม่ได้มีเส้นเดียว ถ้าไปทางตรงไม่ได้ ก็ลองเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาดู พยายามให้ถึงที่สุด 

· ไม่ต้องไปหาความท้าทายจากภายนอก แต่ท้าทายตัวเองให้เก่งขึ้นทุกๆ วัน

· มีโอกาสซ่อนอยู่ในทุกวิกฤติ เพียงแต่เราต้องหามันให้เจอ และเมื่อเจอแล้วอย่ากล้าๆ กลัวๆ เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
คือใจเราเอง 


>>>>>>>>>>>>>>>>>>

“สังสรรค์กับคนสำเร็จมันแตกต่างจริงๆ คุยกันแค่ 5 นาที Mindset ผมเปลี่ยนไปเลย”

>>>>>>>>>>>>>>>>>>


เปิดใจนักเรียน (รู้)  BullMoon  Exclusive รุ่น 1

“ผมเชื่อเรื่องการเรียนรู้นอกห้องเรียน คอร์ส BullMoon ทำให้ผมได้รู้จักเพื่อนใหม่ ได้สังคมใหม่ที่ดี รู้สึกได้เลยว่าถ้าผมยังอยู่ในระบบนิเวศนี้ ผมจะโตไปได้ มากกว่านี้อีกเยอะ เป็นคอร์สที่เปิดโลกทัศน์ มันทำให้เราได้ไอเดียใหม่ๆ ได้เปลี่ยน Mindset ยกแผง ปกติตอนเรียนหนังสือผมหลับตลอด แต่คลาส BullMoon เป็นห้องสี่เหลี่ยมแรกในชีวิตที่ผมทนต่อการง่วงได้ ส่วนหนึ่งเรามาในนามตัวแทนบริษัทก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ด้วย แต่สิ่งสำคัญเลยคือมันเป็นเรื่องที่เราสนใจจริงๆ ทำให้โฟกัสได้ตลอด ไม่หลับเลย นี่อะเมซิ่งตัวเองมาก ^-^”  


เรื่อง รติรัตน์ นิมิตรบรรณสาร 

ภาพ พีรเชษฐ์ นิ่วบุตร  

เรียนรู้การลงทุนและมีเพื่อนดีๆ จากคอมมูนิตี้ที่รักการเรียนรู้ 

ดูรายละเอียดได้ที่ https://bullmoonexclusive.com