Lesson 1 : ทนงศักดิ์ แซ่เอี๊ยว

เจ้าของแบรนด์ยืดเปล่า (Yuedpao)

>>>>>>

“ยังง้ายยย…ก็ไม่ยอมแพ้”

 

“จากเด็กเกเรมีเรื่องชกต่อยเป็นกิจวัตร เคยถูกคู่อริยิงเกือบตาย วันนี้กลายเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อยืด มียอดขายหลายร้อยล้าน”

จะว่าไปสตอรีชีวิตของ คุณตอน-ทนงศักดิ์ แซ่เอี๊ยว เจ้าของแบรนด์ยืดเปล่า (Yuedpao) ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่กว่าที่เคยได้ยินมา แต่หลังจากใช้เวลาคุยกับเขาไปเรื่อยๆ พยายามค้นหาว่าอะไรทำให้เขาพลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเด็กวัยรุ่นธรรมดาๆ ออกแนวแบดบอย มีเรื่องชกต่อยไม่เว้นแต่ละวัน กลายมาเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อยืดตัวละร้อยที่ขายบนห้างฯ ทำรายได้เดือนละ 8 หลัก ปิดยอดขายปีล่าสุดหลายร้อยล้าน ปัจจุบันมี 47 สาขาทั่วประเทศ ทุกวันนี้เขามีฝันใหญ่อยากพาแบรนด์เสื้อยืดของเขาไปไกลถึงระดับประเทศ และสักวันหนึ่งอยากไปปักธงไทยในวงการแฟชั่นระดับโลก
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องฟลุก มันมีคำตอบซ่อนอยู่ และเราอยากเล่าให้คุณฟัง

ชีวิตลงต่ำ
ลูกชายแม่ค้าเขียงหมู คลุกคลีเข้าออกตลาดสดสะพานใหม่ตั้งแต่เด็กเหมือนบ้านหลังที่สอง โตขึ้นหน่อยก็ช่วยแม่ค้าขายในตลาด ชีวิตวัยเด็กของคุณตอนไม่ได้ลำบากอะไร จนมาวันหนึ่งพ่อเกิดล้มป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ทำให้แม่ต้องรับบทบาทเสาหลักหาเลี้ยงครอบครัว นานวันเข้าปัญหาหนี้สินรุมเร้า บรรยากาศในบ้านยิ่งแย่ลง เพราะพ่อแม่ทะเลาะกัน
บ่อยจนชินตา ในที่สุดถึงขั้นต้องแยกทางกัน คุณตอนกับพี่น้องจึงเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่ค่อยสมบูรณ์นัก
ปกติเขาไม่ใช่เด็กเรียนอยู่แล้ว ออกจะเป็นเด็กเนิร์ดๆ ติดเกมด้วยซ้ำ ช่วงมัธยมอยากเรียนศิลป์-คำนวณ
แต่ไปสอบติดศิลป์-ฝรั่งเศส เลยไม่มีใจอยากเรียน หลับในห้องตลอด สุดท้ายผลการเรียนย่ำแย่ จึงตัดสินใจเดินไปขอแม่ลาออกจากโรงเรียน แต่เพราะไม่อยากแบมือขอเงินทางบ้าน เลยออกมาทำงานเป็น รปภ. ประจำตลาด เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต จากเด็กเนิร์ดติดเกมกลายเป็นเด็กเกเรเข้าขั้นหัวโจก เหล้า ยา บุหรี่ ชกต่อย ผ่านมาหมดแล้ว

“หลังขอแม่เลิกเรียนก็ออกมาทำงานเป็น รปภ. กะกลางคืนที่ตลาด ทำได้หนึ่งเดือน คนที่แผงหมูขาดเลยมาช่วยแม่ ต้องทำงานช่วงดึก ตอนนั้นก็เริ่มรู้จักเพื่อนๆ กลุ่มเกเร ติดยา ชีวิตเริ่มลงต่ำ วันดีคืนดีเพื่อนกลุ่มนี้ชวนกันไปเรียนอาชีวะ คราวนี้หนักกว่าเดิม ผมกลายเป็นเด็กเกเรจริงจัง จริงๆ มีปมด้วยแหละ เพราะสมัยเรียนมัธยมโดนเพื่อนแกล้งเป็นประจำ ช่วงนั้นชกต่อยทุกวันเป็นเรื่องปกติ ผมเป็นหัวโจก เพราะเราอยากมีตัวตน วีรกรรมไม่อยากเล่า เอาเป็นว่าตีรันฟันแทง เป็นเรื่องธรรมชาติ ต้องพกมีดไปโรงเรียนทุกวัน หนังสือไม่เรียน เข้าไปเช็กชื่อแล้วออกมากินเหล้าต่อจนเป็นตีๆ มองไม่เห็นอนาคต แต่ตอนนั้นรู้สึกเท่นะ เด็กอายุ 16 ยังคิดอะไรไม่ได้หรอก

คิดได้ เพราะเฉียดตาย
ประสบการณ์ชีวิตมากมายในสมัยวัยรุ่นค่อนข้างเลวร้าย ครั้งหนึ่งคุณตอนเคยโดนคู่อริยิงเฉียดตายก็ผ่านมาแล้ว

ว่ากันว่าคนเราเมื่อได้เจอเสี้ยววินาทีเฉียดตายภาพอดีตเก่าๆ จะย้อนกลับมาให้เห็นเป็นฉากๆ เพราะสภาพบ้านแตก
คบเพื่อนไม่ดี ส่งผลให้เป็นคนเกเรออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้เกเรเป็นนิสัย และแล้วก็ถึงวันที่ดึงสติตัวเองกลับมาได้ เกิดความคิดอยากกลับตัวกลับใจ อยากเปลี่ยนตัวเองขึ้นมา

“ตอนนั้นเรียนอาชีวะปี 2 ผมโดนยิงเข้าใต้รักแร้ ทะลุปอด เฉี่ยวหัวใจไปนิดเดียว เรียกว่าเกือบตาย ก็เห็นภาพแฟลชแบ็กของตัวเองย้อนกลับมา มีแต่เรื่องแย่ๆ ทั้งนั้น นี่เรากำลังทำอะไรอยู่ เราสร้างความเดือดร้อนให้พ่อแม่ ให้ตัวเองมากแค่ไหน เราทำให้แม่ต้องร้องไห้ ต้องเสียเงินไปประกันตัว ญาติพี่น้องพากันเอือมระอา ต้องมาช่วยเคลียร์ตำรวจให้ เกิดคิดขึ้นได้ว่าเราอยากไปจากจุดที่เป็นอยู่ ต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น
แน่นอนว่าชีวิตคนเราไม่มีอะไรที่แย่เสมอไป เราเปลี่ยนตัวเองได้เสมอ ไม่ว่าอดีตจะเป็นคนเกเรเหลวไหลแค่ไหน ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะเปลี่ยนตัวเองไม่ได้เลย เมื่อมีสติคิดได้ หนทางที่จะพัฒนาตัวเองของคุณตอนคือการสมัครเรียนคณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง ตามคำชักชวนของเพื่อนที่โรงเรียนเก่า เพื่อหวังสร้างอนาคตอีกครั้ง

เรียนไปด้วย ขายของไปด้วย
ช่วงเรียนรามฯ นี่เอง เขาได้พบเจอสังคมใหม่ที่เจ้าตัวใช้คำว่า “สังคมแห่งการพัฒนา” ได้เห็นตัวอย่างจากเพื่อนๆ ที่มุ่งมั่นหาเงินเรียนเอง บางคนมีเงินเหลือส่งให้ทางบ้าน เลยคิดอยากทำงานหาเงินบ้าง ไม่อยากรบกวนพ่อแม่

“เด็กรามฯ ที่ผมเจอเป็นเด็กดีนะ หาเงินส่งตัวเองเรียน ผมมีโอกาสไปอยู่ชมรมถ่ายภาพ ได้ทำโครงการเพื่อสังคม รู้สึกว่าคนอื่นเขาเก่งกันจัง ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ก็เลยอยากทำงานบ้าง ส่วนหนึ่งเพราะที่บ้านเริ่มไม่มีส่ง ช่วงนั้นพ่อให้เงินมาเรียนน้อยลง บางวันก็ไม่ได้เลย”   

งานแรกที่คุณตอนทำคือเป็นทีมเบื้องหลังกองถ่ายงานโปรดักชัน ได้เงินค่าจ้างวันละ 1,000 บาท ซึ่งถือว่าไม่น้อย แต่ก็ต้องแลกด้วยการทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่มีเวลาไปเรียน จึงเบนเข็มมาขายของ เป็นจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจเป็นครั้งแรกด้วยเงินทุน 8,000 บาท เริ่มจากรับกางเกงบ็อกเซอร์จากตลาดโรงเกลือมาขาย
“ทำงานออกกองไม่กี่วัน รู้สึกเลยว่ามันไม่ใช่ เราอยากทำงานด้วย เรียนด้วย ไม่ใช่ทำงานเพราะอยากทำงาน ออกกองทีมันเอาเวลาไปทั้งวัน เห็นหน้ารามฯ มีคนขายของตามฟุตพาทแถวสะพานลอยเต็มไปหมด ก็อยากขายบ้าง เลยไปปรึกษารุ่นพี่ที่ขายของอยู่แล้ว เขารับของจากตลาดโรงเกลือมาขาย ผมเลยขอเงินแม่ 5,000 บาท กับเงินเก็บ
อีก 3,000 บาท นำเงินส่วนนี้ไปซื้อกางเกงบ็อกเซอร์มาขายบนสะพานลอยบ้าง ตามตลาดนัดหน้ามหาวิทยาลัยบ้าง” 

เขายังจำได้ดีวันแรกขายได้ 200 บาท ต้นทุน 100 บาท หักค่าที่ 50 บาท เหลือกำไร 50 บาท แค่ซื้อข้าวกิน
ก็หมดแล้ว แต่ก็กัดฟันสู้ต่อ จากที่ขายได้วันละ 200 บาท 300 บาท ก็เพิ่มเป็นวันละ 1,000 บาท และขยับเติบโตขึ้นเรื่อยๆ

จาก “บ๊อกป่ะ” สู่ “ยืดเปล่า”
ขายของไปด้วย เรียนไปด้วยมาสักพัก ก็ต้องมาเจอกับช่วงหน้าฝน ซึ่งปี 2554 ฝนตกหนักมาก จากยอดขายที่ไปได้ดีตกฮวบเหลือแค่ 10% จนต้องปรับเวลาการขายเป็นช่วงเช้าแทน เพื่อหนีฝนที่มักตกช่วงค่ำ คุณตอนเล่าว่าชีวิตในช่วงนั้นเหนื่อยหนักมาก เพราะต้องตื่นตี 5 เพื่อไปขายของในช่วงเช้า และกลับมาขายอีกครั้งในช่วงเย็นถ้าไม่เจอฝน กว่าจะเก็บร้านเสร็จเกือบ 4-5 ทุ่ม แต่สุดท้ายก็ทำให้รอดจากช่วงวิกฤติน้ำท่วมใหญ่มาได้
หลังจากเก็บรวบรวมทุนได้เยอะขึ้นก็มีรุ่นพี่ชักชวนให้ไปขายของแบกะดินที่จตุจักรแบบขายไปหนีเทศกิจไป พอขายไปสักพักเริ่มมองเห็นโอกาสอยากจะมีหน้าร้านเหมือนกับคนอื่น โดยดูจากคนที่ขายของจตุจักรช่วงนั้นสามารถตั้งตัวได้ไม่น้อย และเริ่มมีไอเดียผลิตสินค้าเอง ใช้ชื่อแบรนด์ว่า “บ๊อกป่ะ” เพราะลูกค้าเดินผ่านหน้าร้าน และมักถามเป็นประโยคคำถามว่า “เธอๆ เอาบ๊อกป่ะ” จึงเอาคำพูดของลูกค้ามาตั้งเป็นชื่อแบรนด์

“ตอนขายที่จตุจักร ทำแบรนด์ก็เกือบเจ๊ง ด้วยความไม่เข้าใจการทำธุรกิจ ผมมีเงินเก็บจากการขายบ็อกเซอร์ 
3-4 แสน เราขายได้ตั้งแต่วันเป็นหมื่นจนขายไม่ได้เลย พอทำแบรนด์ของตัวเองแล้วราคาไม่ได้ ก็กล้ำกลืนสักระยะ จนต้องลดราคา ปรับกระบวนการจนรู้แล้วว่ามันขายได้ ตอนนั้นมีตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศและผมเริ่มขยายร้านด้วย จนผมต้องเลือกว่าจะเรียนหรือขายของดี เพราะติดแค่ 3 ตัว 8 หน่วยกิตที่ ม.ราม แต่ก็มองว่าเรียนจบสื่อสาร เราก็ไม่ได้ใช้ ไม่ได้ทำงานหรอก ก็ตัดสินใจขายของ เรียนไม่จบ เลิกคิดเรื่องเรียนไปเลย”

จากการผลิตกางเกงบ็อกเซอร์ขายเองในช่วงแรก มีผ้าสต็อกผ่านมือนับร้อยๆ ชนิด กลายเป็นต้นทุนความรู้
นอกห้องเรียนเรื่องผ้าเป็นอย่างดี สุดท้ายคุณตอนไปเจอผ้าอยู่ตัวหนึ่งแล้วชอบมาก ประกอบกับมองว่าถ้าขายบ็อกเซอร์ไปเรื่อยๆ จะถึงทางตัน เพราะเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม จึงเริ่มขยายมาทำเสื้อยืดซึ่งมีจุดเด่นอยู่ตรงที่เนื้อผ้าดี ไม่ยืด ไม่หด  ไม่ย้วย ผ่านไปประมาณ 2 ปีจึงเริ่มคิดว่าน่าจะต้องสร้างแบรนด์เสื้อยืดให้เป็นที่รู้จัก เกิดเป็นแบรนด์ “ยืดเปล่า” (Yuedpao) พร้อมกับสโลแกนกวนๆ ว่า…  “ยังง้ายยยก็ไม่ย้วย

ขอบคุณภาพจาก Facebook : Yuedpao – ยืดเปล่า ยืดแต่ไม่ย้วย

ทำธุรกิจบนความรู้

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ช่วงปี 2558 คุณตอนเริ่มทำธุรกิจจริงจังแต่ก็ยังไม่มีความรู้ อาศัยเป็นมวยวัดล้วนๆ จากขายที่จตุจักร ขยายตลาดไปยูเนี่ยน มอลล์ มีโอกาสไปขายที่แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ แต่ขายได้เท่าไรเอาไปจ่ายค่าที่หมด จึงมาเริ่มคิดทบทวนอีกครั้งว่าจากจุดที่เป็นอยู่นั้นจะเติบโตไปทางไหนดี
คุณตอนตัดสินใจลงทุนในความรู้เป็นอย่างแรกด้วยการลงเรียนคอร์สต่างๆ เพื่อหาคำตอบให้กับคำถามสำคัญนั้น
“ผมลงเรียนคอร์สเยอะมาก เรียกว่าเป็นอายุน้อยร้อยคอร์สก็ว่าได้ เพราะเราไม่รู้ว่าเราไม่รู้อะไรบ้าง ก็ต้องไปลงเรียน ไปเข้าสัมมนาเยอะๆ ไปดูว่าโลกภายนอกเขาเรียนรู้อะไรกัน อย่างช่วงปี 2560 ดิจิทัลกำลังมา ก็ไปลงเรียนคอร์ส Digital Marketing ล้วนๆ จากนั้นก็ลงเรียนไปเรื่อย จนปี 2561 ได้ไปเจอหลักสูตร BIS (The Business Incubation School) โรงเรียนบ่มเพาะธุรกิจที่สร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ ของ ดร.แสงสุข พิทยานุกุล เจ้าของแบรนด์ Smooth-E ถือเป็น Turning Point ของธุรกิจเรา จากมวยวัดก็เริ่มเป็นมืออาชีพมากขึ้น 6 ปีแรกผมทำธุรกิจแบบทำไปงมไป พอเริ่มหาความรู้จริงจัง ช่วง 6 ปีหลัง มันคนละเรื่องเลย
เขาเล่าต่อว่าหลังจากมีความรู้มากขึ้นก็เหมือนมีเข็มทิศที่ทำให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ถูกทาง นอกจากการทำ
แบรนดิ้ง การทำการตลาด การมี Mindset ที่ถูกต้องถือเป็นสิ่งสำคัญ และยังทำให้เขาพลิกวิกฤติเป็นโอกาสในช่วงโควิด-19 ที่หลายแบรนด์ต้องล้มหายตายจากไป

“ก่อนหน้านั้นแบรนด์เราค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนมาเจอโควิดก็ช็อตเลย ช่วงนั้นผมยังเรียน BIS อยู่ อย่างที่บอก พอเรามีสังคมที่ดีและมี Mindset ที่ถูกต้อง ทำให้ผ่านไปได้ทุกวิกฤติ ผมได้เรียนรู้ว่าโควิดเป็นเพียงปัจจัยภายนอก ใครก็เจอกันหมด แต่เราต้องผ่านไปให้ได้ อย่าไปหยุดรอ ถึงหยุดไปโควิดก็ไม่ดีขึ้นหรอก สู้ทำต่อไปเดี๋ยวก็หาวิธีแก้ปัญหา ได้เอง ผมว่านี่เป็นคำสอนที่ดีมากๆ มาดูตอนนี้คนที่หยุดตอนนั้นเท่ากับเขาถอยหลังไปแล้ว แต่ถ้าใครผ่านไปได้ถือว่าคุณเก่งนะ 

“ความรู้สำคัญอีกอย่างคือ ตอนทำธุรกิจใหม่ๆ ผมไม่ได้มีเป้าหมายที่ไกลมาก มองแค่ว่าเราหาเงิน มีรายได้ไป เรื่อยๆ ก็พอแล้ว แต่พอเราไปเรียน ผมจะถูกถามตลอดว่าเป้าหมายเราคืออะไร เราจะไปไหนต่อ ทำให้ผมต้องคิดหาคำตอบอยู่ตลอดเวลา จากจุดเริ่มต้นที่แค่อยากสร้างแบรนด์ ขยับมาตั้งเป้าอยากเป็นแบรนด์ระดับประเทศ จากนั้นก็ถูก
ท้าทายว่าต้องเป็น Global Brand สิ เราก็ เออจริง เกิดมาทั้งทีก็ตั้งเป้าหมายให้มันไกลไปเลย ผมมีแบรนด์ยูนิโคล่เป็นไอดอล วันหนึ่งข้างหน้าก็อยาก Challenge ตัวเองไปถึงจุดที่เขาอยู่ให้ได้”

มองย้อนกลับไปคุณตอนยอมรับว่า ชีวิตเขาเดินทางมาไกลมากจากจุดเริ่มต้น ถ้าให้รีวิวชีวิตตัวเองว่าอะไรทำให้มาไกลได้ถึงขนาดนี้
“ผมว่าตัวเองมีความเป็นไฟเตอร์ อดทน เป็นคนที่ลงมือทำจริง ค่อนข้างรู้จริงในสิ่งที่ทำ ตอนนี้ผมเป็นนักเรียนรู้ตลอดชีวิต และเป็นคนไม่กลัวความท้าทาย ยิ่งท้าทายยิ่งชอบ ไม่จำเจดี… 

“และไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคอะไร ยังง้ายยย…ก็ไม่ยอมแพ้” 


เก็บตกนอกห้อง (เรียน) จากเจ้าของแบรนด์ “ยืดเปล่า”
· อย่าไปโฟกัสความล้มเหลว เพราะมันเป็นเรื่องปกติ ให้มองว่าเป็นบทเรียนที่ต้องเจอและเราต้องผ่านไปให้ได้

· อย่าคิดว่าคนใกล้ตัวไม่โกง ต้องรู้จักป้องกันความเสี่ยง
· ทำธุรกิจต้องหาความรู้ ต้องรู้จริงในสิ่งที่ทำ

· การเรียนรู้สำคัญมาก นอกจากช่วยต่อยอดสิ่งที่ทำอยู่ ยังย่นระยะเวลาความสำเร็จได้
· อย่ามัวแต่โหมงานจนละเลยสุขภาพ งานกับชีวิตต้องบาลานซ์ให้ดี


»»»»»»»»»»»»»»»»»»

“6 ปีแรกผมทำธุรกิจแบบทำไปงมไป พอเริ่มหาความรู้จริงจัง ช่วง 6 ปีหลัง มันคนละเรื่องเลย”

»»»»»»»»»»»»»»»»»»


เปิดใจนักเรียน (รู้)   BullMoon Exclusive รุ่น 1
“ผมลงคอร์สด้านการตลาดมาเยอะ แต่ไม่เคยเรียนเรื่องลงทุนเลย ส่วนตัวผมเป็นผู้ประกอบการ ไม่ใช่นักลงทุน แต่พอเห็นเพื่อนๆ เราลงทุนกันเยอะ ก็มองว่าเราอาจเสียโอกาสถ้าเราไม่รู้ ถ้าเราทำธุรกิจไปด้วย ลงทุนไปด้วย ก็เหมือนเป็นตัวคูณกัน คอร์ส BullMoon ทำให้ผมเข้าใจ Mindset ของนักลงทุนมากขึ้น ได้เรียนรู้จากเซียนหุ้นว่าถ้าจะเลือกหุ้นตัวไหน เราต้องอินหรือต้องรักธุรกิจนั้น อารมณ์คล้ายๆ ผู้ประกอบการอย่างผมที่รักในธุรกิจที่ทำ อันนี้ผมว่าเป็น Mindset ที่ดีมากๆ ถ้าเราไปลงทุนในธุรกิจที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นยังไง จะเติบโตยังไง ก็อาจพลาดได้ แต่ถ้าเราใช้โปรดักต์เขา เป็นติ่งแบรนด์เขา ผมว่าอันนี้น่าลงทุน”


เรื่อง รติรัตน์ นิมิตรบรรณสาร 

ภาพ พีรเชษฐ์ นิ่วบุตร 

เรียนรู้การลงทุนและมีเพื่อนดีๆ จากคอมมูนิตี้ที่รักการเรียนรู้

ดูรายละเอียดได้ที่ https://bullmoonexclusive.com