ชีวิตต้องดีกว่านี้ (ไปเรื่อยๆ)
คุณกานต์เดินเข้ามาในห้องสัมภาษณ์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้จะต้องขับรถจากบางแสนมากรุงเทพฯ เพื่อเข้าเรียนคอร์ส BullMoon Exclusive ในวันนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยหรือลำบากอะไร ตรงกันข้ามเขากลับชอบช่วงเวลาบนท้องถนน เพราะจะได้เปิดหนังสือเสียงหรือ Podcast แนวพัฒนาตัวเองฟังยาวๆ ระหว่างเดินทาง สำหรับเขานี่คือช่วงเวลาที่ได้โฟกัสกับการเรียนรู้อย่างเต็มที่ เพราะการขับรถต้องใช้สมาธิจะวอกแวกไม่ได้
ในมุมมองของคุณกานต์ คนที่ไม่ได้มีต้นทุนชีวิตเพียบพร้อม โดยเฉพาะต้นทุนด้านทุนทรัพย์ ยิ่งต้องหาความรู้ใส่ตัวให้มาก เพื่อขยับจากจุดที่อยู่ไปสู่จุดที่เป็นเป้าหมาย ดังเช่นตัวเขาเองที่มาจากครอบครัวฐานะปานกลาง พ่อแม่หย่าร้าง ต้องอาศัยบ้านป้าอยู่ตั้งแต่เด็ก ในหัวของเขาวางแผนชีวิตเอาไว้อย่างเป็นสเต็ป
ต้องเรียนให้ได้เกรดดีๆ เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ > ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ เพื่อเข้าทำงานในองค์กรดีๆ > ต้องเข้าทำงานองค์กรดีๆ เพื่อให้ได้เงินเดือนดีๆ > ต้องได้เงินเดือนดีๆ เพื่อให้มีชีวิตดีๆ
“ผมไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก ต้องมาอาศัยอยู่บ้านป้า เพราะพ่อแม่ทำงานต่างจังหวัด จะมาหาได้เฉพาะวันหยุดเสาร์อาทิตย์เท่านั้น พอโตมาหน่อยช่วง ม.1-ม.2 ครอบครัวมีปัญหา พ่อแม่หย่ากัน ผมโตมาแบบต้องตัดสินใจด้วยตัวเองแทบทุกอย่าง และตั้งใจเรียนมากเพราะคิดว่าเป็นหนทางเดียวที่จะยกระดับฐานะความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นได้
“พอจะเข้ามหาวิทยาลัยผมมุ่งมั่นอยากเรียนวิศวะตามเส้นทางของเด็กวิทย์ และเลือกเรียนสาขาวิศวกรรมเคมี เพราะคิดว่าเงินเดือนสูง ผมอยากจบได้เกรดดีๆ เพื่อจะได้ทำงานในองค์กรชั้นนำ เพื่อให้ได้เงินเดือนดีๆ เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น นี่คือเป้าหมายที่ตั้งไว้”
เราสงสัยว่าคนหนุ่มวัย 25 อย่างเขาไปได้ความคิดนี้มาจากไหน เขาตอบว่าน่าจะมาจากการอ่านหนังสือแนวพัฒนาตัวเองตั้งแต่เด็กๆ สิ่งที่ทำเวลาอยู่กับพ่อคือท่านจะให้อ่านหนังสือ ซึ่งบนชั้นหนังสือมีทั้งแนววิทยาศาสตร์ จิตวิทยา การพัฒนาตัวเอง ทำให้เป็นคนที่ตั้งเป้าหมายตลอดเวลา
เลิกหาคำตอบ
เพราะต้องเติบโตมาแบบรับผิดชอบตัวเองทำให้รู้สึกโดดเดี่ยว คุณกานต์รู้สึกมาตลอดว่าตัวเองมีปัญหาครอบครัว ถาโถมด้วยปัญหาส่วนตัวที่เกิดจากความเครียด กดดันตัวเอง อยากเรียนได้เกรดดีๆ ระยะหลังยังมีปัญหาสุขภาพมาซ้ำเติม เมื่อเกิดสารพัดปัญหา รู้สึกไม่ได้มีความสุขกับชีวิตมากนัก เฝ้าหาคำตอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า…ทำไมเรื่องแย่ๆ ถึงได้เกิดขึ้นกับเรา
“ในใจลึกๆ ผมรู้สึกขาดความอบอุ่นในครอบครัว เพราะเราโตมาแบบโดดเดี่ยว ไม่มีพ่อแม่คอยดูแล วันเสาร์เราตั้งตารอเจอพ่อแม่ แต่พอถึงวันอาทิตย์จะเศร้ามากเพราะต้องจากกัน ผมจะมีคำถามในใจตลอดว่าทำไมเราไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ 7 วันเหมือนคนอื่น พอขึ้นมัธยมพ่อแม่หย่ากัน ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองต่างจากคนอื่นเยอะมาก
“ช่วง ม.6 ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมโชคร้ายมีปัญหาด้านสุขภาพอีก เป็นโรคฮิรายามา (Hirayama Disease) กล้ามเนื้อซีกขวาอ่อนแรงถึงขนาดจับดินสอปากกาเขียนไม่ได้ ตอนนั้นกังวลมากว่าจะเข้าสอบไม่ได้ เป็นความกดดันภายในใจ โรคนี้หายากมากแต่ทำไมมาแจ็กพ็อตเกิดขึ้นกับเรา พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้จากที่เคยเรียนเก่งระดับท็อปที่โรงเรียน ช่วงปี 1 ได้เกรด 3.2-3.3 แต่คิดไปเองว่าเกรดไม่ดี กลายเป็นรู้สึกว่าเราไม่เก่ง ยิ่งต้องขวนขวายพัฒนาตัวเอง กดดันตัวเองจนไม่มีความสุข แล้วเราก็ไม่มีที่ปรึกษาทำให้คิดวนเวียนอยู่กับปัญหา ไม่มีทางออก”
หลายคนมีเรื่องทุกข์ร้อนใจจะเก็บเงียบไว้ ไม่บอกคนรอบข้าง แต่คุณกานต์เลือกไปปรึกษาจิตแพทย์ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้น้อยมากที่เด็กชายวัยมัธยมปลายติดต่อขอพบคุณหมอเองโดยไม่มีพ่อแม่ไปด้วย
“ปกติผมจะอ่านหนังสือด้านจิตวิทยาอยู่แล้ว เลยเข้าใจว่าคนเราอาจรู้สึกเครียดหรือถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าได้ ลองสังเกตตัวเองก็คิดว่าเราน่าจะเป็นโรคนี้ เพราะวันๆ ไม่อยากทำอะไรเลย อยากหลับไปแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นอีก ที่ผ่านมาผมมีความคิดว่าอยากพัฒนาตัวเองไปให้สุดทาง กลายเป็นความกดดันตัวเอง มีความหลงตัวเองนิดๆ ว่าเราเก่ง คุณหมอก็ช่วยดึงกลับมา ทำให้เราเริ่มสังเกตและเริ่มรู้ตัว ผมหาหมอมาเรื่อยๆ จนถึงมหาวิทยาลัย พอเริ่มเฟลทีก็ไปหาหมอที ความคิดเราโตขึ้นส่วนหนึ่งจากการพูดคุยกับจิตแพทย์”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาที่พึ่งสำคัญของคุณกานต์คือ “หนังสือ” เวลาเกิดปัญหาอะไรขึ้นก็ตามกับตัวเองและต้องการหาคำตอบ เขาจะกลับไปที่หนังสือเสมอ เพราะเชื่อว่าคำถามส่วนใหญ่บนโลกนี้มีคนตอบไว้หมดแล้ว แค่เราต้องหาคำตอบนั้นให้เจอ ในช่วงที่ต้องการตัวช่วยมาเยียวยาหัวใจที่กำลังพังทลาย คุณกานต์เลือกอ่านหนังสือ How to Fix a Broken Heart ของ ดร.กาย วินช์ นักจิตวิทยาและนักพูดที่มียอดชมใน TED Talks มากกว่า 5 ล้านครั้ง
“ผมวนเวียนหาคำตอบให้กับตัวเองว่าทำไมเรื่องแย่ๆ ต้องเกิดขึ้นกับเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายได้อ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้ค้นพบคำตอบที่เปลี่ยนความคิดเราไปเลย เราไม่รู้หรอกว่าทำไมเรื่องเหล่านั้นถึงเกิดขึ้นกับเรา ทางที่ดีที่สุดคือการเลิกหาคำตอบ เพราะบางทีหาไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร หรือบางอย่างไม่มีคำตอบด้วยซ้ำ อย่างโรคที่ผมเป็นแม้แต่หมอก็ยังไม่รู้สาเหตุ แทนที่จะเสียเวลาหาคำตอบ เปลี่ยนมาหาวิธีก้าวเดินต่อไปจะดีกว่า”
อย่างที่หนังสือเล่มนี้เขียนไว้ แม้ว่าใจของเราจะสลาย แต่ไม่จำเป็นเลยที่ชีวิตของเราต้องสลายไปกับมัน เราสามารถควบคุมชีวิตจิตใจของเราแล้วเดินไปบนเส้นทางการเยียวยาได้
เลิกถามว่า “ทำไมจึงเป็นอย่างนี้” มุ่งที่ “แก้ไขอย่างไร” ดีกว่า
วิชาแคกตัส
หลายคนเริ่มจากการทำธุรกิจแล้วค่อยคิดลงทุน แต่สำหรับคุณกานต์เขาเลือกลงทุนก่อนตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เพราะได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” จุดประกายความคิดว่าถ้าอยากรวยต้องลงทุนและสร้างธุรกิจ และยังสอนบทเรียนสำคัญเรื่องการลงทุนในตัวเอง คนที่ชอบตั้งเป้าหมายอย่างเขาจึงเริ่มตั้งเป้าอยากลงทุนก้าวแรกตอนอายุ 20 และสักวันต้องมีธุรกิจของตัวเองให้ได้ เป็นจุดเริ่มต้นให้ทำธุรกิจแรกในชีวิต นั่นคือการปลูกแคกตัสขาย
“ผมศึกษาเรื่องการลงทุนในกองทุนตั้งแต่อายุ 18-19 แล้วก็เก็บเงินรอไว้ว่าอายุ 20 จะไปเปิดบัญชีกองทุน จากนั้นก็ลงทุนมาเรื่อยๆ จนเริ่มทำงานก็ยังซื้อกองทุนเก็บไว้ ส่วนพาร์ตธุรกิจ มาเริ่มทำช่วงเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนกัน ตอนนั้นเอาแคกตัสมาขาย เกิดจากความชอบและเห็นโอกาส บางพันธุ์ขายได้ถึงต้นละ 200 บาท ผมไปถึงฟาร์มเห็นเขาขายกัน 50-60 บาทเอง กำไร 3-4 เท่า ก็เห็นช่องว่างตรงนี้เลยซื้อมาขายในกลุ่มแคกตัสออนไลน์ ทำวนอยู่หลายรอบจนช่องว่างตรงนี้เล็กลงเรื่อยๆ ก็เริ่มคิดใหม่เปลี่ยนเป็นซื้อเมล็ดมาเพาะเอง ต่อให้ตายไปครึ่งหนึ่งกำไรก็ยังเยอะอยู่ดี ตอนนั้นคิดว่ากำไรเป็นสิบๆ เด้ง ยิ่งกว่าลงทุนในหุ้นเสียอีก
“ประสบการณ์ครั้งนั้นเป็นบทเรียนชิ้นสำคัญของผมเลย เพราะผมไม่ได้เห็นโอกาสนี้แค่คนเดียว คนอื่นก็เห็นเหมือนกัน ทุกคนเริ่มหันมาเพาะขาย ผ่านไปหนึ่งปีจากขายได้ต้นละหลักร้อยเหลือแค่ 20 บาท กลายเป็นกำไรที่คิดว่าจะได้มันหายไปเยอะ ก็เริ่มเรียนรู้ว่าเรายังไม่เข้าใจเรื่องธุรกิจเลย เราดูแต่มุมของตัวเอง ไม่ได้คิดถึงตลาดในภาพรวม ไม่ได้คิดเรื่องการแข่งขัน เป็นการทำธุรกิจแบบคิดง่ายๆ พอเรียนหนักขึ้นสุดท้ายก็เลยเลิกทำไป”
ตั้งเข็มทิศก่อนออกเดินทางครั้งใหม่
หลังเข้าไปทำงานในบริษัทพลังงานชั้นนำระดับประเทศได้สักพัก คุณกานต์เริ่มทบทวนเส้นทางชีวิตตัวเองอีกครั้ง คำถามสำคัญที่เขาถามกับตัวเองคืออยากจะเกษียณในอาชีพวิศวกรหรือไม่ เมื่อพบคำตอบว่าไม่ ผ่านไปเพียง 10 เดือน เขาตัดสินใจลาออกจากงานที่มีความมั่นคงสูงในช่วงวิกฤติโควิด-19 พอดี แต่ก็ใช่ว่าชีวิตจะไม่มีแผนสำรอง รายได้จากงานรับทำการตลาดออนไลน์ที่เคยไปร่ำเรียนมากับเงินเก็บอีกก้อน น่าจะช่วยประคองชีวิตให้ผ่านพ้นไปได้สักระยะระหว่างเริ่มตั้งหลักใหม่
“ตอนเรียนแฮปปี้ แต่ทำงานไปประมาณ 10 เดือนรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเรา ผมเริ่มมองเห็นว่าอนาคต 4-5 ปีข้างหน้าเราจะกำลังทำอะไรอยู่ ถามตัวเองว่าอยากเกษียณในอาชีพนี้ไหม คำตอบคือไม่ใช่ งั้นเราจะใช้เวลาที่เหลือทำงานนี้ไปทำไม ก็ตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเลย”
คำตอบที่ใช่สำหรับคุณกานต์คือเขาสนใจด้านการเงิน การลงทุน เพราะอนาคตอยากมีอิสรภาพทางการเงิน เขารีเซ็ตเป้าหมายใหม่เหมือนกัปตันเรือที่ตั้งเข็มทิศให้ตรงตำแหน่งที่จะเดินทางไปก่อนออกเดินเรือ
“คนอาจจะมองว่างานของผมมั่นคงมาก ลาออกมาทำไม แต่เป้าหมายของผมคืออยากมั่งคั่งด้วย การทำงานประจำมันไปคนละทิศกับเป้าหมาย เหมือนผมจะไปทิศเหนือแต่สิ่งที่กำลังทำมันออกข้างทางไปเยอะ ผมกลับมาทบทวนว่าจะย้ายไปทางไหนได้บ้าง ผมสนใจสายอาชีพทางการเงิน เพราะชอบลงทุนและอยากเป็นผู้จัดการกองทุน ก็เริ่มลงมือศึกษา พบว่ามีการสอบคุณวุฒิ CFA (Chartered Financial Analyst) ซึ่งเป็นหลักสูตรด้านการเงินและการลงทุนที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วโลก ค่าสอบ CFA สูงมากแต่ผมยอมจ่าย ผมชอบลงทุนในความรู้เพราะคิดว่าคุ้ม ถ้าสอบผ่านก็จะได้ย้ายไปทำงานในสายการเงิน การลงทุนได้ ช่วงนั้นอ่านหนังสือสอบหนักมาก ตอนนี้สอบผ่าน CFA ระดับ 1 แล้ว (มีทั้งหมด 3 ระดับ)”
เท่านั้นยังไม่พอ คุณกานต์มองว่าเขาควรจะมีความรู้เพิ่มเติมด้านธุรกิจด้วย จึงสมัครเรียนปริญญาโทด้านบริหาร ธุรกิจที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ซึ่งช่วยเพิ่มพูนความรู้และเสริมมุมมองด้านธุรกิจของเขาได้อย่างมาก ล่าสุดเขากำลังจะจบการศึกษาในเร็วๆ นี้
แค่รู้ไม่พอ ต้องลงมือทำ
เพราะเชื่อเรื่องการลงทุนในตัวเอง แต่ก็ตระหนักว่าความรู้ที่เรียนมาจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าไม่ได้ลงมือทำ ระหว่างมองหาโอกาสและศึกษาข้อมูลว่าจะเริ่มต้นทำธุรกิจอะไรดีเพื่อต่อยอดความรู้ คุณกานต์ได้รู้จักกับรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ที่ประเทศโอมาน เมื่อมองเห็นลู่ทางเพราะที่นั่นยังมีบริษัทของไทยไปทำธุรกิจไม่มากนัก ซึ่งนั่นแปลว่ายังมีโอกาสทางธุรกิจอีกมาก เป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งบริษัทสยาม มิดเดิล อีสต์ อินเตอร์ กรุ๊ป เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา
“ตอนแรกผมโฟกัสการลงทุนเป็นหลัก แต่หลังเรียนจบแล้วอยากเอาความรู้มาใช้ต่อยอดให้ได้มากที่สุด อะไรก็แล้วแต่ถ้าเราลงทุนกับตัวเองแต่ไม่ทำให้เกิดผลลัพธ์ ก็น่าจะไม่เกิดประโยชน์ เลยเริ่มทำธุรกิจตรงนี้หลังจากเห็นช่องทางทางธุรกิจ
“บริษัทเราตั้ง Vision ไว้ว่าจะจัดหาผลิตภัณฑ์พรีเมียมของไทยไปจำหน่ายที่ตะวันออกกลาง ปัจจุบันยังเป็นช่วงของการเริ่มต้น ประเทศโอมานหลายคนอาจยังไม่รู้จัก แต่รู้กันดีว่าตลาดตะวันออกกลางมีกำลังซื้อสูง สินค้าไทยยังบุกตลาดที่นั่นไม่เยอะนัก สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นของแบรนด์ใหญ่ระดับโลก แต่สินค้าเจาะตลาดยังมีน้อย ผมคิดว่ามีสินค้าไทยระดับพรีเมียมมากมายที่สามารถจับเซ็กเมนต์อื่นได้ เป้าหมายระยะยาวผมอยากให้บริษัทเรามีสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยวางจำหน่ายที่นั่นเหมือนของแบรนด์ใหญ่บ้าง เป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างท้าทายมาก”
แม้จะอายุเพียง 25 ปี แต่คุณกานต์วางเป้าหมายปลายทางของชีวิตไว้แล้ว เป็นเป้าหมายที่ไกลกว่าแค่เรื่องเงินทองและมากกว่าเรื่องของตัวเอง
“ผมอยากมีอิสรภาพ ไม่ใช่แค่การเงิน แต่เป็นอิสรภาพในการใช้ชีวิต สามารถเลือกได้ว่าจะทำอะไร ไม่ทำอะไร และเพิ่งมีเป้าหมายใหม่คืออยากมีอายุยืนถึง 120 ปี เพราะผมอยากสร้าง Positive Social Impact เพื่อจะได้ช่วยเหลือคนอื่น ทุกวันนี้ก็เริ่มจากแชร์สิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้หรือเรื่องที่คิดว่าช่วยเหลือสังคมได้ อย่างเรื่องที่ผมเคยเป็นโรคซึมเศร้า ผมก็แชร์ในโซเชียลมีเดีย หลายคนที่เป็นก็ทักมาหา เรารู้สึกมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น ตอนนี้ผมหันมาโฟกัสเรื่องของสุขภาพ เพราะคิดว่ามันเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง และเป็นการลงทุนระยะยาว ไม่ใช่ปรับปรุงวันนี้ พรุ่งนี้ดีขึ้นทันที เลยตั้งใจว่าต้องเริ่มให้เร็วที่สุดตั้งแต่วันนี้เลย”
และแน่นอนว่าสิ่งที่คุณกานต์จะยังคงทำต่อไป คือ มุ่งมั่นเป็นนักลงทุนในตัวเอง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและมีชีวิตที่ได้เลือกแล้ว
เก็บตกนอกห้อง (เรียน) จาก “นักลงทุนในตัวเอง”
· ความรู้มีหลายประเภท “สิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้” “สิ่งที่เรารู้ว่าเราไม่รู้” และ “สิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้” ซึ่งมีมากที่สุด ทำยังไงจะเปลี่ยน “สิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้” เป็น “สิ่งที่เรารู้ว่าเราไม่รู้” ก็ต้องขยายขอบเขตการเรียนรู้ให้กว้างขึ้น เพื่อจะได้ดูว่าเรายังไม่รู้อะไร แล้วเราก็จะเรียนรู้อะไรก็ได้
· คำถามบนโลกนี้มีคนตอบไว้หมดแล้ว แค่เราต้องหาคำตอบนั้นให้เจอ
· ความรู้ที่เรียนมาจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าไม่ได้ลงมือทำ
· หนังสือเล่มเดียวกันอ่านตอนเด็กอาจเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่พอโตขึ้นได้อ่านอีกครั้งกลับเข้าใจมากขึ้น เพราะเรามีประสบการณ์มากขึ้น
· ตั้งเป้าหมายให้ท้าทาย เมื่อเราทำได้สารโดปามีนจะหลั่ง เราจะยิ่งมีความสุขและอยากทำมันไปเรื่อยๆ
»»»»»»»»»
“การลงทุนกับตัวเองในวันนี้ทำให้ผมมีความรู้และทักษะต่างๆ ติดตัว
เหมือนเป็นเครื่องมือที่จะเอาไปใช้ตอบโจทย์ชีวิตในอนาคต
หลายอย่างที่ผมเรียนรู้อาจไม่ได้ใช้วันนี้ แต่อาจจะได้ใช้ในวันข้างหน้า
เหมือนเก็บรวบรวมอาวุธไว้ รอว่าสักวันหนึ่งจะหยิบเอามาใช้
และผมตั้งใจว่าจะยังพัฒนาตัวเองต่อไปไม่หยุด”ธนกานต์ โตวิวัฒน์
กรรมการและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท สยาม มิดเดิล อีสต์ อินเตอร์ กรุ๊ป»»»»»»»»»
เปิดใจนักเรียน (รู้) BullMoon Exclusive รุ่น 1
“ผมสมัครเรียนคอร์ส BullMoon Exclusive เพราะเป็นคอร์สที่ให้ความรู้ด้านการลงทุน ซึ่งผมสนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว นอกจากจะได้เรียนรู้จากวิทยากรที่มีคุณภาพ ยังจะได้รู้จักกับพี่ๆ เพื่อนๆ อีกหลายท่านที่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กันได้ ยิ่งเป็นคอร์สที่พี่ป้อม (ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา CEO ทูมอร์โรว์ กรุ๊ป) จัด คิดว่าต้องพิถีพิถันทั้งเนื้อหา การคัดเลือกวิทยากร ส่วนตัวผมชอบการนั่งเรียนในคลาสแบบสดๆ รู้สึกว่าซึมซับความรู้และบรรยากาศการเรียนรู้ได้มากกว่า เมื่อก่อนผมเป็นคน Introvert มาก พออ่านหนังสือก็ทำให้ได้รู้ว่าการเข้าสังคมมีส่วนสำคัญมากที่เราจะได้เปิดโลกการเรียนรู้ เป้าหมายของผมคือการพัฒนาตัวเองเป็นหลัก คิดว่าคอร์สนี้ตอบโจทย์เป้าหมายเลยตัดสินใจมาเรียน”
เรื่อง : รติรัตน์ นิมิตรบรรณสาร
ภาพ : พีรเชษฐ์ นิ่วบุตร
เรียนรู้การลงทุนและมีเพื่อนดีๆ จากคอมมูนิตี้ที่รักการเรียนรู้
ดูรายละเอียดได้ที่ https://bullmoonexclusive.com